วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559

บทความเทิดพระเกียรติNo.4

พระราชินี คู่บุญบารมีพระราชา
ภาพในความทรงจำที่ประจักษ์ต่อสายตาของพสกนิกรชาวไทยอย่างชัดเจนต่อเนื่องมาโดยตลอดคือภาพการเสด็จพระราช ดำเนินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเยี่ยมเยียนราษฎรในภูมิภาคต่างๆ แม้จะห่างไกลทุรกันดารสักเพียงใด โดยมี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยเสด็จเคียงข้างด้วยเสมอ...
             ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะมุ่งมั่น ทรงตรากตรำพระวรกายเพื่อบำเพ็ญพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่อย่างจริงจัง
เพื่ออำนวยคุณประโยชน์แก่ชาติและอาณาประชาราษฎร์โดยมิได้ทรงย่อท้อ ด้วยพระองค์ทรงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดั่งพระราชดำรัสเมื่อวันที่  12 สิงหาคม พุทธศักราช 2522 ความตอนหนึ่งว่า
 “...ทรงสั่งสอนข้าพเจ้าและลูกๆ ว่า เมื่อคนเขายกย่องนับถือให้เป็นประมุขมากเท่าไร ก็ต้องรู้สึกว่าเราต้องทำงานให้หนักกว่าทุกคน ต้องมีความรับผิดชอบ มีความเสียสละนักข่าวต่างประเทศเคยถามว่า ที่ออกเยี่ยมเยียนราษฎรนี้ ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือ ซึ่งก็ตอบไปว่า เหนื่อยไม่ได้ เพราะบ้านเมืองของเรามีคนยากจนรอความช่วยเหลืออีกมากมายก่ายกองพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้ข้าพเจ้าดูแลเกี่ยวกับครอบครัว ความจริงแล้ว ตัวเองไม่มีหัวหรอกที่จะไปคิดสงเคราะห์สตรี แต่รับสั่งว่า ให้ดูแลครอบครัว ข้าพเจ้าก็เลยดูไปว่า จะช่วยเหลือเขาได้อย่างไร..."
ในเดือนพฤษภาคม พุทธศักราช 2522 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทาน
พระราชานุญาต ให้ นายเดนิส เกรย์ ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวเอพี เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ วังไกลกังวล หัวหิน เพื่อขอพระราชทานสัมภาษณ์ และเขียนรายงานข่าวไปทั่วโลก เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจต่างๆและพระราชปณิธาน ที่ทรงช่วยเหลือราษฎร มีพระราชดำรัสความตอนหนึ่งที่น่าสนใจ และสามารถตอบข้อสงสัยของผู้คนที่เคยคิดว่า ในยุคสมัยที่การเดินทางไปต่างประเทศเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็วและเป็นที่นิยมกัน ความในพระราชดำรัสตอบทรงยกย่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า
 "...ในเรื่องเกี่ยวกับพระราชภาระอันหนัก บางครั้งเมื่อฉันเกิดเหนื่อยขึ้นมา ฉันเคยคิดว่าน่าจะได้ไปพักผ่อน ณ สถานที่บางแห่ง เช่น ฮาวาย สักระยะหนึ่ง แต่แล้วพระเจ้าอยู่หัวก็มักรับสั่งกับฉันว่า จะทอดทิ้งประชาชนไปจริงๆ หรือ ในยามที่บ้านเมืองกำลังลำบากอยู่เช่นในขณะนี้ จะเห็นได้ว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงมีความเสียสละมากกว่าฉัน พระองค์ท่านทรงเป็นดวงประทีปที่ให้ความสว่างแก่ฉันตลอดมา..."
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระราชหฤทัยให้ความช่วยเหลือแก้ไขปัญหา และการพัฒนาเกี่ยวกับการประกอบอาชีพหลักของประชาชนชาวไทย คือ การเกษตรกรรม และการพัฒนาแหล่งน้ำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเกษตรและการดำรงชีวิต ดังที่ได้เคยรับสั่งว่า "น้ำคือชีวิต" ในขณะที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงสนพระราชหฤทัยให้ความช่วยเหลือเรื่อง ครอบครัว การศึกษา สาธารณสุข อาชีพเสริม อย่างสอดคล้องเชื่อมโยงกัน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระราชหฤทัยเรื่อง น้ำและสิ่งแวดล้อม สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงสนับสนุนในเรื่องของ ป่า อันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะได้มาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติของน้ำ
ทั้งสองพระองค์ทรงให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติเช่นเดียวกัน
พระราชดำริและพระราชกรณียกิจที่ทั้งสองพระองค์ได้ทรงปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่องนั้น แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่า ทรงมีความห่วงใยในทุกข์สุขและความเป็นอยู่ของพสกนิกร จากการพระราชทานความช่วยเหลือของพระองค์ได้สะท้อนออกมาให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมถึงเป้าประสงค์เพื่อผลประโยชน์ของพสกนิกรอย่างแท้จริง ดั่งโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ได้พระราชทานกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ล้วนมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาอาชีพของราษฎรให้ได้มาซึ่งรายได้ที่พอเพียงต่อการดำรงชีพ อีกทั้งสามารถยกระดับคุณ ภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
ในขณะที่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริใน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มุ่งเน้นไปที่การสาธารณสุข อาชีพเสริมหรืองานศิลปาชีพ การฟื้นฟูป่าและรักษาป่าต้นน้ำ ลำธาร รวมทั้ง ทรัพยากรชายฝั่งที่สร้างความสงบร่มเย็นให้แก่ราษฎรและการประกอบอาชีพได้อย่างสมบูรณ์

การพระราชทานความช่วยเหลือของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง จากการที่ราษฎรขอพระราชทานความช่วยเหลือมาเป็นหนังสือ หรือที่เรียกกันว่า “ฎีกา”
ทั้งสองพระองค์ยังคงทรงงานและพระราชทานความช่วยเหลืออย่างมิได้ขาด
นับเป็นความโชคดีของปวงชนชาวไทยที่มี พระราชินี คู่บุญบารมีพระราชา อันเป็นที่รักและเทิดทูนยิ่งของพสกนิกรชาวไทย

ทรงมีพระเมตตาต่อพสกนิกร ทรงให้อย่างไม่มีเงื่อนไข ด้วยทรงมุ่งหวังให้ราษฎรได้รับความสุข มีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง เพื่อสร้างสังคมและประเทศชาติให้มีความเจริญรุ่งเรืองและมั่นคงตลอดไป.

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น